นิราศนรินทร์คำโคลง
นิราศนรินทร์เป็นบทประพันธ์ประเภทนิราศคำโคลงที่โด่งดังที่สุดในยุครัตนโกสินทร์
ทัดเทียมได้กับ"กำสรวลศรีปราชญ์
"และ"ทวาทศมาส"ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้แต่งคือ
นายนรินทร์ธิเบศร์(อิน) แต่งขึ้นเมื่อคราวตามเสด็จ
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ไปทัพพม่าในสมัยรัชกาลที่สอง
ไม่มีบันทึกถึงประวัติของผู้แต่งไว้ ทราบแต่ว่าเป็นข้าราชการ ตำแหน่ง
มหาดเล็กหุ้มแพรในกรมพระราชวังบวรฯ และมีผลงานที่ปรากฏนอกจากนิราศเรื่องนี้
เป็นเพลงยาวอีกบทหนึ่งเท่านั้น แต่แม้จะมีผลงานเพียงน้อยนิด
แต่ผลงานของกวีท่านนี้จัดว่าอยู่ในขั้นวรรณคดี และเป็นที่นิยมอ่านกันอย่างแพร่หลาย
เนื้อหาของ นิราศนรินทร์ก็ดำเนินตามแบบฉบับนิราศทั่วไป คือ
มีการเดินทางและคร่ำครวญถึงการพลัดพรากจากนางอันเป็นที่รัก
โดยได้รับอิทธิพลอย่าสูงจากกำสรวลศรีปราชญ์
(ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าการเอาอย่างโบราณเป็นเรื่องดี)
แต่นิราศนรินทร์มีจุดเด่นที่การใช้คำที่ไพเราะ รื่นหูข้อความกระชับลึกซึ้งและกินใจ
จะถือว่าเป็นนิราศคำโคลงที่ไพเราะที่สุดก็ย่อมได้
โคลงบทที่ 2 กรุงศรีอยุธยาล่มสลายไปจากการเสียกรุง
แต่ก็มีเมืองล่องลอยมาจากสวรรค์อันมีพระที่นั่งสถูปแก้วอันสวย
งามด้วยบุญบารมีที่สั่งสมของพระเจ้าแผ่นดินก็ได้ทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญ รุ่งเรือง
เปิดทางให้บ้านเมืองไปสู่ความดีงามและยังฟื้นเมืองให้ตื่นจากการหลับใหล
หลังจากการเสียกรุง
โคลง บทที่ 3 ความรุ่งเรืองของศาสนานั้นมีมากไปทั่วยิ่งกว่าแสงอาทิตย์
ผู้คนได้รับพระธรรมจากการฟังธรรมอยู่เป็น
ประจำเจดีย์มากมายได้ถูกสร้างขึ้นสูงตระหง่านฟ้ายอดเจดีย์สวยงามยิ่งกว่าแสงนพเก้าเสมือนเป็นหลักแห่งโลกและเป็นที่มหัศจรรย์แห่งสรวงสวรรค์
โคลงบทที่ 4
โบสถ์วิหารระเบียงธรรมาสน์และศาลาต่างๆนั้นกว้างใหญ่ขยายไปถึงสวรรค์หอพระไตรปิฎกเสียงระฆังในหอระฆังยามพลและแสงตะเกียงจากโคมแก้วอันมากมายนั้นสามารถทำให้แสงจันทร์สว่างน้อยลง
โคลงบทที่ 8
เมื่อจำต้องจากนางอันเป็นที่รักไปด้วยความอาลัยเหมือนกับต้องปลิดหัวใจของตนออกไปกับนางถ้าหากว่าดวงใจสามารถแบ่งออกได้ก็จะผ่าออกเป็นสองซีก
ซีกหนึ่งจะเก็บไว้กับตนเอง แต่อีกซีกหนึ่งจะมองให้นางรักษาไว้
โคลงบทที่ 10
จะฝากนางไว้กับฟากฟ้าหรือผืนดินดีเพราะกลัวว่าพระเจ้าแผ่นดินจะมาลอบเชยชมนางจะฝากนางไว้กับสายลมช่วยพัดพานางบินหนีไปบนฟ้าแต่ก็กลัวลมพัดทำให้ผิวนางมีรอยช้ำ
โคลงบทที่ 11
จะฝากนางไว้กับใครดีจะฝากนางไว้กับนางอุมาหรือชายาพระนารายณ์ก็เกรงว่าจะเข้าใกล้ชิดนางพี่คิดจนสามโลกจะล่วงลับไปก็คิดได้ว่าจะฝากนางไว้ในใจตนเองดีกว่าฝากไว้กับคนอื่น
โคลงบทที่ 22
เดินทางมาโดยทางน้ำล่วงหน้ามาจนถึงตำบลบางยี่เรือขอให้เรือแผงช่วยพานางมาด้วย
แต่บางยี่เรือไม่รับคำขอน้ำตาพี่จึงไหลนอง
โคลงบทที่ 37
เดินทางต่อไปจนถึงตำบลบางพ่อซึ่งน้ำแห้งเหือดจนมองไม่เห็นมีแต่บ่อน้ำตาที่คงเต็มไปด้วยเลือดพี่ก็อยากให้นางผู้มีความงาม5ประการมาซับน้ำตาพี่แล้วค่อยจากไป
โคลงบทที่ 41 เห็นต้นจากแตกกิ่งก้านสลับกับต้นระกำทำให้ชอกช้ำระกำใจว่าเคยเป็นเวรกรรมที่คงเคยทำกันมาทำให้เราต้องจากกัน
ไกลขอให้ครั้งหน้าเราคงได้อยู่ด้วยกัน
โคลงบทที่ 45 เป็นการเปรียบเทียบของหน้านางกับดวงจันทร์
แต่ดวงจันทร์มีรอยตำหนิเป็นรอยกระต่าย
แต่ใบหน้าของน้องนางสวยงามไม่มีตำหนิไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบ
เพราะหน้าของน้องงามกว่าดวงจันทร์ ยิ่งมองยิ่งงามกว่านางฟ้า
โคลงบทที่ 118
เดินทางมาถึงตระนาวศรีความโศกเศร้าก็กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามาความโศกเศร้าที่จากนางาไม่ว่าจะเดินผ่านทุ่งนา
ป่า ท้องน้ำ หรือสถานที่ใดไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ ก็สามารถสังความไปถึงน้ำได้ตลอด
โคลงบทที่ 122
ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ผู้มีพันตาผู้เฝ้าดูระวังโลกพระพรหมผู้มีสี่หน้าแปดหูที่คอยฟังสรรพเสียงใดๆหรือจะเป็นพระนารายณ์ที่บรรทมอยู่หลังนาค
เมื่อเราทั้งสองต้องพลัดพรากจากกัน
เราสองคร่ำครวญอยู่ซ้ำซากแต่เทพพระองค์ก็ไม่สนใจ
บทที่ 139
ในอกของพี่นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะระบายยออกมาบรรยายให้น้องได้ทราบความรู้สึกของพี่นั้นมากมาย
ดังนั้น พี่จึงเอาเขาพระสุเมรุมาเป็นปากกา
เอามหาสมุทรเป็นน้ำหมึก แล้วเขียนเป็นตัวหนังสือไนอากาศเป็นแผ่นกระดาษ จารึกลงไปก็ยังไม่พอเพราะความรู้สึกของพี่นั้นมีมาก
ผู้เลอโฉมลงมาจากฟ้าจะรับรุ้ความรู้สึกในใจของพี่หรือไม่
บทที่ 140 ภูเขาพังทลาย สวรรค์ 6
ชั้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จะหายไปจากโลก ความรักของพี่นั้นก็ไม่หาย
ถึงไฟมาผลาญล้างทวีปทั้ง4 ก้ไม่สามารถล้างความอาลัยของพี่ได้
บทที่ 141 พี่ได้คร่ำครวญถึงความรักของพี่จนสั่นกึกก้องทั้งแผ่นดิน
และท้องฟ้า เป็นข้อความที่บรรยายถึงความโศกเศร้าของพี่
ข้อความเหล่านั้นขอให้น้องรับไว้เป็นต่างหน้า
ให้นึกถึงอดีตระหว่างเรา